วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เคล็ดลับสุดเจ๋ง !! เกษตรไทย

ปลูกมะละกอต้นเตี้ย แต่ลูกดกเต็มต้น 

แถมโตเร็ว


การตัดรากแก้วมะละกอ ทำให้มะละกอต้นเตี้ย โตเร็ว ช่วยย่นระยะเวลาการเก็บเกี่ยวผลผลิตขึ้นมาได้ 1 เดือน เป็นการแปลงเพศมะละกอให้ออกลูกดกทุกต้น

วิธีการปลูกมะละกอต้นเตี้ย

1. ย้ายกล้ามะละกอจากแปลงเพาะ ควรรดน้ำต้นกล้าให้ชุ่ม

2. ให้ตัดรากแก้วของกล้ามะละกอออกประมาณ 2 ข้อนิ้วมือหรือประมาณ 5 เซนติเมตร ซึ่งวัดจากปลายรากขึ้นไป

3. นำต้นมะละกอลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ ควรวางต้นมะละกอเอียง 30 - 45 องศา หันไปทางทิศตะวันออก

ที่มา : thaiarcheep และ นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี

Cr. นาราคินทร์ฟาร์ม

ปลูกต้นอ่อนทานตะวัน สร้างอาชีพ ปลูกง่าย รายได้ดี




ปลูกต้นอ่อนทานตะวัน สร้างอาชีพ ปลูกง่าย รายได้ดี

สมัยนี้ต้องยอมรับว่าอาหารทุกอย่างราคาแพงมากขึ้น ซึ่งหากมองในแง่มุมที่ดีก็หมายความถึงรายได้จากการขายที่อาจเพิ่มมากขึ้นได้เหมือนกัน หนึ่งในชนิดผักที่เราจะขอแนะนำวันนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับมือใหม่ที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องการเกษตรมานัก ไม่ได้มีทุนสูง แต่อยากเริ่มการเพาะปลูกแบบง่ายๆที่ได้รายได้ดี เรากำลังพูดถึง “การปลูกต้นอ่อนทานตะวัน” นั่นเองค่ะ

การปลูกพืชชนิดนี้คุณไม่ต้องเตรียมการอะไรมาก มีเพียงพื้นที่เล็กๆกับความตั้งใจมากๆสักหน่อย ก็สามารถปลูกพืชชนิดนี้ได้แล้ว มาดูวิธีปลูกกันเลยดีกว่า 

ทำไมต้อง “ต้นอ่อนทานตะวัน” 

ในอดีต คงมีน้อยคนนักที่จะรู้จักต้นอ่อนทานตะวัน และถือเป็นพืชที่หาทานได้เฉพาะบางที่ แต่ในปัจจุบัน พืชชนิดนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากมีการเผยแผ่ให้ผู้บริโภครับรู้ถึงความอร่อยและประโยชน์ของมันมากขึ้น 

ต้นอ่อนทานตะวัน มีวิตามิน A, วิตามิน B1, วิตามิน B6 โอเมก้า 3, 6, 9 , ธาตุเหล็ก ในปริมาณสูง การทานพืชชนิดนี้เข้าไปในปริมาณที่เหมาะสมจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เหมาะสมต่อการบำรุงสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ และลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่ไม่ชอบทานเนื้อสัตว์หรือเป็นมังสวิรัติ เพราะต้นอ่อนทานตะวันเป็นพืชที่มีโปรตีนค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับการทานผักกาดเขียว พืชชนิดนี้จะมีโปรตีนสูงกว่าถึง 2 เท่า 

วิธีปลูกต้นอ่อนทานตะวัน
วัสดุอุปกรณ์
1. เมล็ดทานตะวันสีดำ ( black oil sunflower seeds ) หาซื้อได้ตามร้านขายอาหารสัตว์ทั่วไป
2. ถาด กะละมัง หรือกระบะทึบแสง 2 อัน
3. ดิน
4. สเปรย์ฉีดน้ำ

วิธีเพาะปลูก
1. แช่เมล็ดทานตะวันสีดำในน้ำ ทิ้งไว้ข้ามคืน
2. เติมดินใส่ถาดให้สูงขึ้นมาประมาณ 0.5-1 นิ้ว โดยไม่จำเป็นต้องเจาะรูระบายน้ำที่ถาด
3. สเปรย์น้ำให้ดินพอชุ่มๆ แต่ห้ามแฉะมากเกินไป
4. โรยเมล็ดทานตะวันที่แช่น้ำแล้วลงไปให้กระจายทั่วถาด สเปรย์น้ำซ้ำอีกครั้ง แล้วใช้ถาดอีกใบปิดคว่ำทับไว้ด้านบ
5. วิธีการดูแลไม่ยาก ทำโดยการสเปรย์น้ำให้ทั่ววันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หลังจากสเปรย์น้ำแล้วอย่าลืมปิดถาดเอาไว้เช่นเดิมทุกครั้ง
6. เมื่อเวลาผ่านไป 3-4 วัน ต้นอ่อนทานตะวันจะเริ่มสูงขึ้นประมาณ 1 นิ้ว และเมื่อต้นอ่อนเริ่มผลิใบออกมา 1 คู่ ให้หงายกระบะที่วางทับไว้ด้านบนและปิดไว้เช่นเดิมเพื่อบังคับให้ต้นทานตะวันงอกในระดับเดียวกัน คอยรดน้ำเช้า-เย็นต่อไปอีก 2-3 วัน 
7. หลังจากที่ต้นอ่อนสูงได้ประมาณ 2- 3 นิ้ว ให้เอาถาดที่วางทับไว้ด้านบนออก และนำไปวางไว้ในที่ร่ม ห้ามโดนแสงแดดเด็ดขาด สเปรย์รดน้ำต่อไปทั้งเช้าและเย็น (ใบของต้นอ่อนจะมีสีเหลืองในตอนแรก แต่เมื่อโดนแสงเพียงไม่กี่ชั่วโมง ใบของต้นอ่อนทานตะวันจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว) 
8. ตั้งแต่วันที่ 7 ถึงวันที่ 11 สามารถเก็บเกี่ยวต้นอ่อนทานตะวันมารับประทานได้เลย อย่าปล่อยให้ต้นอ่อนทานตะวันผลิใบเลี้ยงคู่ใบที่สองออกมา เพราะจะทำให้รสชาติไม่อร่อยเหมือนเดิม 

วิธีเก็บเกี่ยวง่ายแสนง่าย เพียงแค่ใช้มือรวบต้นอ่อนมาเป็นกำๆ ใช้กรรไกรตัดรากทิ้งไป จากนั้นนำต้นอ่อนไปล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำ และผึ่งให้แห้ง แค่นี้ก็พร้อมปรุงอาหารได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเมนูผัด เมนูยำ หรือเมนูทอด ก็อร่อยได้ทุกรูปแบบ 

หรือถ้าใครจะปลูกขายก็ย่อมได้ แพคใส่ถุงพลาสติกขายถุงละ 20-30 บาท ได้กำไรเห็นๆ แค่ลงมือทำใครๆก็รวยได้ทั้งนั้น 


ที่มา - http://www.thaijobsgov.com/jobs=56769



5 สินค้าเกษตรที่ปลูกแล้วมีแต่รวยกับรวย ขายง่าย รายได้ดี



5 สินค้าเกษตรที่ปลูกแล้วมีแต่รวยกับรวย ขายง่าย รายได้ดี

สมัยนี้ เราจะเห็นมนุษย์เงินเดือนหลายคน พลิกชีวิตกลับมาทำการเกษตรกันเยอะมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอยากหนีความวุ่นวาย หรือไม่ก็อยากรวยด้วยฝีมือของตนเอง ด้วยธุรกิจของตนเอง ซึ่งการจะสร้างอะไรเป็นของตัวเองขึ้นมาได้ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

วันนี้เราจะมานำเสนอสินค้าเกษตรที่เขาว่ากันว่าทำแล้วรวย ทำแล้วขายได้เงินดีกัน จะดีจริงอย่างที่ใครเขาพูดหรือเปล่า ตามมาดูกันเลยค่ะ 

1. ตะไคร้ 

สมุนไพรทิ่กินกันทั้งบ้านทั้งเมือง ทั้งปรุงอาหารหรือดื่มเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร ทำให้ตะไคร้เป็นพืชเกษตรที่กำลังมาแรงแซงทางโค้ง เพราะใช้ได้ตั้งแต่โคนจรดปลาย แถมปลูกง่ายขายดีอีกด้วย 

บางเจ้าถึงขนาดทำสัญญาซื้อขายกันตั้งแต่เตรียมดิน เพื่อจองผลผลิตที่จะออกไว้ล่วงหน้า สนนราคาการันตีขั้นต่ำที่กิโลกรัมละ 10-15 บาท ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้เกษตรกรบางคนมีรายได้จากการปลูกตะไคร้มากถึงวันละ 30,000 บาท เรียกว่ารวยเป็นเศรษฐีแบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว 

2. กล้วย 

เมื่อคนรุ่นใหม่หันมารักสุขภาพ ทานอาหารคลีน หรือลดน้ำหนักกันมากขึ้น กล้วยก็ยิ่งขายได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ยังไม่รวมถึงสินค้าโอทอปพื้นบ้านที่มักใช้กล้วยเป็นวัตถุดิบหลักด้วย ไม่ว่าจะเป็นกล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งนั้น โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นกับจีนที่ต้องบินมาจองกันถึงสวน 

ลองดูราคาในบ้านเราก่อน กล้วยหอมหวีสวยๆขายกันหวีละ 90-150 บาท ในร้านสะดวกซื้อขายลูกละ 8 บาท เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจที่เกษตรกรหลายคนจะหันไปปลูกกล้วยกันมากขึ้น ก็มันโกยรายได้ได้อย่างมากมายขนาดนี้หนิหน่า 

3. มะนาว 

ถึงแม้จะมีสารให้ความเปรี้ยวอื่นๆมากมาย แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะมีรสเปรี้ยวและหอมเหมือนมะนาว ทำให้มะนาวยังคงเป็นพืชอีกชนิดที่ทำเป็นรายได้เป็นกอบเป็นกำเสมอมา เพราะมีความต้องการของตลาดสูง แต่ราคาอาจจะขึ้นๆลงๆบ้างตามแต่ฤดูกาล 

มะนาวสามารถปลูกได้หลายแบบ จะปลูกแบบเป็นไร่หรือปลูกในกระถางอ่างซีเมนต์ก็ได้ กรรมวิธีการปลูกไม่ยาก ถ้าได้พันธุ์ดีๆให้น้ำมาก จะยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาดสูง สามารถขายได้ราคาผลละ 4-5 บาท หรือมากกว่านี้ก็มี 

4. มะพร้าว 

มะพร้าวเป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันมาช้านาน และเมื่อ1-2 ที่ผ่านมา น้ำมะพร้าวถูกนำมาทำเป็นเครื่องดื่มสำเร็จรูปหรือพร้อมดื่มกันมากขึ้น พร้อมกับประโยชน์ที่หลายคนต่างบอกว่ามันดีกับผู้หญิงมากๆ โดยเฉพาะมะพร้าวน้ำหอมของไทยที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความหอมอร่อย ติดตลาดโลก และโกยเงินเข้าประเทศปีละหลายพันล้าน โดยมีตลาดรายใหญ่ๆ คือ ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ และยุโรป ว่ากันว่าตลาดต่างประเทศอย่างเกาหลีใต้วางขายมะพร้าวในซุปเปอร์มาร์เก็ตลูกละถึง 70 บาท เลยทีเดียว 

นอกจากน้ำมะพร้าวแล้ว ส่วนอื่นๆของมะพร้าวก็ยังนำมาแปรรูปขายได้อีกหลายอย่าง เช่น กะทิ ที่ส่งออกไปต่างประเทศมากมาย เจ้าของสวนมะพร้าวเลยโกยเงินกันเพลิน เพราะความต้องการในตลาดมีมากเหลือเกิน 

5. มะม่วง 

มะม่วง เป็นผลไม้ยอดนิยมตลอดกาล และเป็นสินค้าส่งออกที่ขึ้นชื่อ ยิ่งถ้าเป็นมะม่วงสุกที่กินกับข้าวเหนียวด้วยแล้ว ราคาเท่าไรเท่ากันจริงๆ เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ในญี่ปุ่นขายกันลูกละ 50 บาท ส่วนในไทยก็ราคาใช่ย่อย แล้วแบบนี้จะไม่รวยได้ยังไงละ 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างของพืชเกษตรที่ขายได้ราคาดีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ในความจริงยังมีอีกหลายๆชนิดที่ตลาดต้องการ และยังมีคนปลูกน้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่คุณต้องศึกษากันต่อไป แต่ไม่ว่าคุณจะปลูกพืชชนิดไหน ก็ต้องใส่ความมุ่งมั่นตั้งใจลงไปทุกครั้ง และศึกษาตลาดให้ดี เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้คุณเป็นเกษตรกรที่ร่ำรวยได้แล้ว 


ที่มา - http://www.thaijobsgov.com/jobs=54820